แม่ชะล่าใจ ลูกบ่นเจ็บหู จน ด.ญ.เซื่องซึม จึงตัดสินใจพาไปตรวจ พบสิ่งน่าขนลุก
แม่ชะล่าใจ ลูกสาวบ่นเจ็บหู ไม่ยอมพาไปหาหมอ สุดท้ายเด็กหญิงมีท่าทีเซื่องซึม ไม่เหมือนปกติ ก่อนพบสิ่งน่าขนลุกในหู
อีกหนึ่งอุทธาหรณ์ที่ผู้ปกครองไม่ควรเมินเฉยต่อการบอกเล่าของลูก เพราะบางทีอาจต้องเสียใจภายหลัง กระทั่งนำไปสู่เรื่องสยองอย่างไม่คาดฝัน เช่นเดียวกับคุณแม่ชาวมาเลเซียรายนี้ ที่ลูกมาบ่นว่าเจ็บหู คิดว่าเดี๋ยวค่อยพาไปหาหมอภายหลัง โดยไม่รู้เลยว่าสาเหตุของการเจ็บหูเป็นอะไรที่น่าตกใจอย่างมาก
ตามรายงานระบุว่า อากีลา นาซีร์ คุณแม่ชาวมาเลเซีย ได้ออกมาเล่าเหตุอุทาหรณ์ เตือนใจผู้ปกครองว่า ลูกสาวเธอบ่นเจ็บหูมาตั้งแต่เย็นวันที่ 17 มกราคม ที่ผ่านมา แต่เมื่อเธอลองใช้ไฟส่องดูภายในหูก็ไม่เจออะไร คิดว่าคงมีสิวขึ้น จึงบอกว่าให้รอดูอีกวัน หากยังไม่ดีขึ้นค่อยไปหาหมอ จากนั้นลูกก็คลานไปที่อื่นเหมือนไม่เจ็บแล้ว เธอจึงลืมเรื่องนี้ไป
กระทั่งวันรุ่งขึ้นลูกสาวตื่นขึ้นมาบอกว่าเจ็บคอ แม่คิดว่าลูกแค่นอนผิดท่า จึงบอกลูกให้ยืดคอ ขณะที่ตัวเองก็ยุ่งกับการทำเรื่องอื่นๆ จนกระทั่งเวลาผ่านไป ลูกสาวยังคงมีท่าทีเซื่องซึม ไม่เหมือนปกติ เธอจึงเริ่มกังวลและเช็กดูหูลูกสาวอีกรอบ แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ามีอะไรสีดำๆ อยู่ในหูลูกสาว จึงรีบพาลูกไปหาหมอที่คลินิกทันที แต่ทางคลินิกไม่สามารถส่องกล้องตรวจหูได้ จึงต้องพาลูกสาวไปคลินิกอีกแห่งแทน
เมื่อหมอได้ตรวจดูก็พบว่ามีเห็บจำนวนมากอยู่ภายในหูชั้นในของเด็กหญิง และย้ำว่าต้องทำความสะอาดทันที รีบนำเห็บทั้งหมดออกมา มิเช่นนั้นจะติดเชื้อได้ ซึ่งระหว่างดึงเห็บออก หมอก็แจ้งแล้วว่าอาจจะมีอาการเจ็บด้วย แต่ลูกสาวของเธอก็อดทนได้ สุดท้ายเมื่อนำเห็บออกมาแล้ว หมอก็ให้ยาแก้ปวดมากินอีกหลายวัน พร้อมกำชับว่าหากผ่านไป 1 สัปดาห์แล้วยังเจ็บหูอยู่ ให้กลับมาตรวจซ้ำอีกครั้งว่ามีการติดเชื้อหรือไม่
ทั้งนี้หมอยังบอกแม่ว่า เห็บจำนวนมากเหล่านี้น่าจะอยู่ในหูของเด็กมาสักพักแล้ว ทำให้แม่คิดขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้ลูกสาวอาจไม่ได้เจ็บมาก เพราะลูกสาวเป็นคนทนต่อความเจ็บเก่ง หากลูกสาวมาบอกว่าเจ็บ นั่นหมายความว่าอาการค่อนข้างหนักแล้ว จึงเป็นบทเรียนให้เธอได้รู้และอยากฝากถึงผู้ปกครองคนอื่นๆ ไม่ให้เมินเฉยหากเด็กๆ บ่นถึงอาการเจ็บปวด
อย่างไรก็ตาม ส่วนสาเหตุที่มีเห็บในหูลูกสาวนั้น แม้จะยังไม่ชัดเจน แต่เธอสงสัยว่าอาจเกี่ยวกับนิสัยของลูกที่ชอบไปเล่นกับแมวจรจัดหรือไม่
ข้อมูลจาก Sinchew
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Aqila Nasir