"เหนื่อยแบบไม่มีสาเหตุ" หมอเตือนระวัง อาจมาจาก ตับ ลามถึงมะเร็ง

เคยมั้ย? เหนื่อยแบบไม่มีสาเหตุ กินดี นอนพอ แต่ยังหมดแรงง่าย ๆ ถ้าใช่ ลองอ่านโพสต์นี้ดู ตับของคุณอาจกำลังบ่นว่า “เหนื่อยเหมือนกันนะ”

"หมอเจด" นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า 

เหนื่อยบ่อย เพลียง่าย
อาจเพราะ "ตับมีปัญหา"  เสี่ยงมะเร็งไม่รู้ตัว !
เคยมั้ยครับ อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกเหนื่อยแบบไม่มีเหตุผล ทั้งที่นอนครบ 8 ชั่วโมง กาแฟก็จัดไปแล้ว แต่ยังเหมือนโดนดูดพลัง เหนื่อย เพลีย ไม่มีแรงทำอะไรเลย

ถ้ากำลังเป็นแบบนี้อยู่ ลองหยุดคิดนิดนึงว่า อาจไม่ใช่แค่เรื่องเครียดหรือนอนน้อย แต่ "ตับ" ของเรานี่แหละ อาจกำลังทำงานหนักเกินไป หรือเริ่มมีปัญหาโดยที่เราไม่รู้ตัว
มาดูกันว่า ตับเกี่ยวอะไรกับอาการแบบนี้ และจะรู้ได้ยังไงว่าเราควรเริ่มหันมาดูแลมันบ้างแล้ว

1. ตับ = โรงงานลับผลิตพลังงานของร่างกาย
หลายคนอาจนึกว่าตับมีหน้าที่แค่กรองแอลกอฮอล์หรือสารพิษ 
แต่จริง ๆ แล้ว ตับเป็นเหมือนโรงงานใหญ่ที่เปลี่ยนอาหารที่เรากินให้กลายเป็นพลังงานแบบที่ร่างกายเอาไปใช้ได้
ถ้าตับเริ่มทำงานช้าลง หรือมีปัญหา ระบบการสร้างพลังงานก็จะติดขัด ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า เพลียบ่อย ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ใช้แรงอะไรมากมายเลย
อธิบายเพิ่มให้เห็นภาพนะ  ตับจะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นพลังงานสำรอง พอเวลาร่างกายต้องใช้ จะได้ดึงออกมาใช้ได้เลย 
ถ้าระบบนี้รวน  แล้วเราก็จะรู้สึกเหมือน "ไม่มีแรง" ตลอดเวลา

2. ไขมันพอกตับ 
คำว่า “ไขมันพอกตับ” หลายคนได้ยินแล้วอาจนึกถึงคนที่ดื่มหนัก 
แต่จริง ๆ แล้ว คนไม่กินเหล้าก็เป็นได้ง่ายมาก โดยเฉพาะถ้าชอบกินของหวาน ของมัน หรือมีน้ำหนักเกินนิด ๆ
พอไขมันเริ่มสะสมในตับมากเกินไป ตับจะเริ่มทำงานได้ช้าลง กรองของเสียก็ช้า สร้างพลังงานก็น้อยลง 
ร่างกายปรับเหมือนอยู่ในโหมด “พลังงานต่ำ” ตลอดเวลา เหมือนมือถือที่แบตเหลือ 10% 

 

3. ตับอักเสบ 
อาการตับอักเสบอาจไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บทันที แต่เบื้องหลังนั้น ร่างกายเรากำลังใช้งานหนักมาก
เพราะเมื่อเซลล์ตับโดนทำลาย ร่างกายต้องใช้พลังงานไปกับการซ่อมแซม แล้วพลังงานที่เหลือก็เลยไม่พอให้เราใช้ในชีวิตประจำวัน
พูดง่ายๆคือ เวลาตับอักเสบ มันจะปล่อยสารที่กระตุ้นภูมิคุ้มกัน (เรียกว่า cytokines) 
สารพวกนี้จะทำให้เรารู้สึกอ่อนเพลีย ทั้งที่ไม่ได้ออกกำลังอะไรเลย เป็นความเหนื่อยแบบ “ไม่รู้จะอธิบายยังไง”

4. พังผืด ปล่อยไว้เสี่ยงมะเร็ง
ถ้าตับอักเสบนาน ๆ แล้วไม่ได้ดูแล พังผืดก็จะเริ่มสะสมขึ้นเรื่อย  จนกลายเป็น “ตับแข็ง” ซึ่งเป็นภาวะที่ตับเริ่มเสียรูปทรง แข็งตัว และทำงานได้ไม่ดีเหมือนเดิม
ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ตับแข็งนี่แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นของ “มะเร็งตับ” ได้ โดยเฉพาะในคนที่เป็นไวรัสตับอักเสบบีหรือซีอยู่เดิม หรือมีภาวะไขมันพอกตับรุนแรงแบบเรื้อรัง

สรุปคือ มันเหมือนตับที่เคยโดนซ่อมแซมบ่อย ๆ จนกลายเป็นแผลเป็น พอซ่อมไม่ไหวแล้ว
เซลล์บางกลุ่มเลยเริ่มกลายพันธุ์ กลายเป็นเซลล์มะเร็งนั่นเอง ซึ่งเราจะไม่รู้เลยจนกว่ามันจะลุกลามแล้วถึงเริ่มมีอาการชัด ๆ
อาการของมะเร็งตับในช่วงแรกอาจไม่ชัดเจนเลย บางคนก็แค่ “เพลียบ่อย” “ไม่ค่อยอยากกินข้าว” หรือ “น้ำหนักลด” แบบไม่รู้ตัว จนมารู้ทีหลังว่าก้อนในตับใหญ่ไปแล้ว

5. สัญญาณอื่นที่มักมากับความเหนื่อย
นอกจากอาการเหนื่อยเรื้อรัง ตับที่เริ่มมีปัญหามักส่งสัญญาณอื่น ๆ มาด้วย ถ้าเจอหลายข้อนี้พร้อมกัน แนะนำให้ลองไปตรวจเช็กตับดูบ้างนะ
•เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
•แน่นท้อง ท้องอืดบ่อย
•ผิวเหลือง ตาเหลือง
•ปัสสาวะสีเข้ม อึซีด
•คันตามตัวแบบไม่มีผื่น

สิ่งพวกนี้อาจดูเล็ก ๆ แต่รวมกันแล้วก็ชวนให้สงสัยได้ว่า ตับอาจมีปัญหาโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย
ฝากด้วยนะครับ ตับเป็นอวัยวะที่ทำงานหนัก แต่ถ้ามีปัญหามาเราจะไม่รู้เลย 
เพราะมันไม่มีปลายประสาทที่ทำให้ “เจ็บ” เหมือนอวัยวะอื่น ๆ พอจะรู้ตัวอีกทีก็อาจเข้าสู่ภาวะเรื้อรังแล้ว
ถ้าเริ่มรู้สึกว่า ร่างกายเหนื่อยๆ เพลียๆ  บ่อย ๆ ทั้งที่นอนพอ กินดี ใช้ชีวิตปกติ ลองตรวจหาความผิดปกติของตับดูนะครับ
สิ่งง่าย ๆ ที่ดูแลตับ ลดความเสี่ยงมะเร็งคือ

•กินอาหารที่ดีต่อตับ เช่น ผัก ผลไม้ ไม่มัน ไม่หวานจัด
•ลดแอลกอฮอล์ หรือถ้าตัดได้เลยยิ่งดี
•หมั่นออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนัก
•ตรวจสุขภาพตับปีละครั้ง โดยเฉพาะถ้ามีความเสี่ยง
•อาหารเสริมบางอย่างช่วยได้ 

เช่น วิตามิน E มีส่วนช่วยลดการอักเสบในตับ ส่วน Dandelion เป็นสมุนไพรที่ช่วยล้างพิษตับ
และโคลีน (Choline) เป็นอีกหนึ่งสารอาหารที่ช่วยลดไขมันสะสมในตับ
แต่อาหารเสริมไม่ควรแทนการปรับพฤติกรรมหลัก เช่น การลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย และควบคุมอาหาร
สุดท้ายนี้อย่ารอให้ร่างกายพังแล้วค่อยมาซ่อม เริ่มดูแลตับวันนี้ดีกว่า 
เพราะถ้าปล่อยไว้ ยิ่งเสี่ยงมะเร็ง ใครมีคำถาม คอมเมนต์ได้เลยนะครับ