หลายบ้านทำมานาน "กินน้ำแดงบำรุงตับ" วันนี้ ความจริงเปิดเผยแล้ว

กินน้ำแดงบำรุงตับ ทำได้จริงหรือไม่ "หมอเจด" เผยน้ำแดงคือน้ำตาลล้วน กินมากไขมันเกาะตับ อ้วนลงพุง เบาหวานถามหา แนะงดน้ำหวาน เพิ่มผัก นอนพอ ช่วยตับได้จริง

"หมอเจด" นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า 

 

ตับดีเพราะน้ำแดง? บำรุงตับ หรือแค่ความเชื่อผิดๆ?

หลายคนน่าจะเคยได้ยิน หรือเห็นผ่านโลกโซเชียลว่า “กินน้ำแดง ช่วยบำรุงตับ” แล้วก็มีคำแนะนำตามมาว่า ถ้าอยากให้ตับดี ต้องดื่มน้ำแดงผสมโซดาเย็นๆ สักแก้ว แล้วตับจะฟื้นตัวเร็วขึ้น

วันนี้เลยอยากมาชวนทุกคน “เช็กให้ชัวร์ก่อนเชื่อ” นะ

1. น้ำแดงคืออะไร มีอะไรอยู่ในนั้น?
น้ำแดงที่พูดถึงกันบ่อยๆ มักหมายถึงน้ำหวานขวดแก้วแดงๆ  ที่คนไทยชอบกินก็คือรสสละ หรือกลิ่นต่างๆ 
ซึ่งจริงๆ แล้วน้ำแดงจัดเป็น "น้ำเชื่อมปรุงแต่งกลิ่นและสี" ที่มีส่วนประกอบหลักคือ น้ำตาล (ซูโครส) เข้มข้นมากๆ
โดยคือน้ำแดง 1 แก้ว มีแต่น้ำตาล น้ำเปล่า แล้วก็กลิ่นกับสีสังเคราะห์ ไม่มีวิตามิน ไม่มีเกลือแร่ ไม่มีสารอาหารที่ช่วยฟื้นฟูเซลล์ตับโดยตรงใดๆ
แถมปริมาณน้ำตาลในน้ำแดง 1 ช้อนโต๊ะ (15 มล.) อยู่ที่ประมาณ 12–14 กรัม
ซึ่งพอผสมเป็นน้ำดื่ม 1 แก้ว ก็จะได้พลังงานประมาณ 80–120 กิโลแคลอรี ส่วนใหญ่คือ "น้ำตาลล้วนๆ"

2. แล้วทำไมคนถึงรู้สึกดีเวลาดื่มน้ำแดง?
คำตอบง่ายๆ คือ “เพราะน้ำตาล” ครับ
เวลาคุณดื่มน้ำแดง โดยเฉพาะหลังจากเหนื่อยล้า หรือหลังดื่มแอลกอฮอล์ น้ำตาลในน้ำแดงจะดูดซึมเร็วมาก และเข้าไปเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด 
ส่งผลให้สมองหลั่งสารแห่งความสุข (dopamine) แบบชั่วคราว จึงรู้สึกสดชื่น หายเพลีย และ “เหมือน” ตับดีขึ้น
แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้เกี่ยวกับตับเลยครับ เหมือนเวลาเราดื่มโค้กตอนง่วงๆ แล้วตื่นขึ้นมาเฉยๆ เพราะน้ำตาลพุ่ง
ปัญหาคือ ถ้าดื่มบ่อยๆ หรือดื่มแทนน้ำเปล่า น้ำตาลที่มากเกินจะกลายเป็นไขมันสะสมในตับ และอาจทำให้เป็น “โรคไขมันพอกตับจากน้ำตาล” (Metabolic Fatty Liver) ได้

3. กินน้ำแดงบ่อยๆ ยิ่งเสี่ยงโรค
ถึงน้ำแดงจะดูไม่อันตราย แต่ถ้าดื่มบ่อยๆ หรือดื่มแบบไม่รู้ปริมาณน้ำตาลที่รับเข้าไป ก็อาจกลายเป็น “ภัยเงียบ” ได้เหมือนกันครับ
เหตุผลหลักคือ ‘น้ำตาล’ ในน้ำแดง 1 แก้ว (ประมาณ 250 มล.) อาจมีน้ำตาลสูงถึง 4–6 ช้อนชา 
ซึ่งเกินจากปริมาณแนะนำต่อวันในหลายๆ คนไปไกลมาก เพราะองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่า ผู้ใหญ่ไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน
แล้วน้ำตาลที่มากเกินนี้ทำอะไรกับตับเราบ้าง?
•กลายเป็นไขมันพอกตับ เมื่อน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายเยอะเกิน ร่างกายจะเปลี่ยนส่วนที่เหลือให้เป็นไขมัน และสะสมไว้ในตับ 
ซึ่งนำไปสู่ “โรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์” (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease - NAFLD)
•เพิ่มความเสี่ยงเบาหวานและอ้วนลงพุง ตับเป็นตัวควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อมันทำงานหนักเกินไปบ่อยๆ ร่างกายอาจเริ่มดื้อต่ออินซูลิน และนำไปสู่เบาหวานชนิดที่ 2 ได้ในที่สุด
•กระตุ้นการอักเสบในร่างกาย น้ำตาลที่มากเกินกระตุ้นกระบวนการอักเสบเรื้อรังในระดับเซลล์ ซึ่งเป็นปัจจัยร่วมของโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และโรคตับเรื้อรัง

4. ตับทำงานยังไง? แล้วอะไรช่วยบำรุงตับจริงๆ
ตับเป็นอวัยวะใหญ่ที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่สำคัญมากมาย เช่น กำจัดสารพิษ สร้างน้ำดี ช่วยเผาผลาญไขมัน และกักเก็บสารอาหาร เช่น วิตามินและกลูโคส 
ถ้าตับทำงานผิดปกติ เช่น จากการดื่มแอลกอฮอล์ การติดเชื้อ หรือโรคไขมันพอกตับ (NAFLD) ก็จะส่งผลต่อร่างกายทั่วทั้งระบบ
การบำรุงตับ จริงๆ คือการที่ทำให้ตับฟื้นตัวจากการอักเสบหรือความเสียหาย ด้วยปัจจัยหลัก 3 อย่าง คือ
•พักตับ (งดแอลกอฮอล์ ลดอาหารไขมันสูง ลดของหวาน)
•รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน E, C, โอเมก้า-3
•ออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนัก
ซึ่งในน้ำแดง ไม่ได้มีอะไรที่ช่วยตรงนี้เลย

5. สรุปง่ายๆ คืออยากให้ทุกคนเข้าใจใหม่นะ 
น้ำแดงให้พลังงานสูงจากน้ำตาล ซึ่งทำให้ “รู้สึกดีชั่วคราว” แต่ไม่มีสารอาหารที่ช่วยซ่อมแซมหรือลดการอักเสบของตับ 
หากดื่มบ่อยหรือดื่มมากเกิน อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคตับแทนด้วยซ้ำ โดยเฉพาะไขมันพอกตับที่พบได้มากขึ้นในคนรุ่นใหม่
ถ้าอยากดูแลตับจริงๆ ทางออกไม่ใช่น้ำแดงครับ แต่คือการเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ เช่น
•นอนให้พอ
•งดเหล้า
•ลดน้ำตาล
•เพิ่มผักในมื้ออาหาร
ดูแลตัวเองและตับด้วยนะครับ ใครมีคำถามคอมเมนต์ได้เลยนะ