เจาะแนวคิด "รถบัสไฟฟ้าไร้คนขับ" คันแรกของไทย

เปิดตัวไปเเล้ว "รถบัสไฟฟ้าไร้คนขับ" คันแรกของไทย วิ่งให้บริการฟรี ใช้งานผ่านแอปฯ รอบอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โดย กสทช.ให้ทุน มจธ. 27 ล้าน ทำวิจัยร่วมกับ TKC - เจ็นเซิฟ พัฒนา 2 ปีสำเร็จ หวังให้เป็นต้นแบบช่วยกระตุ้นยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับในอนาคต
รายการชุมชนยั่งยืน ได้ลงพื้นที่ไปพูดคุยกับอาจารย์ต้น รศ.ดร.ยศพงษ์ ลออนวล ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนมจธ. ซึ่งเป็นคนคิดโครงการนี้ขึ้นมา
อาจารย์ต้น ได้เล่าให้เราฟังว่า รถคันนี้เป็นการออกแบบให้สามารถเป็นรถที่มีการขับเคลื่อนระดับอัตโนมัติ ระดับสาม มีการเชื่อมโยงการสื่อสารด้วยระบบ 5G จุดเด่นในโครงการนี้ก็คือ เป็นการพัฒนารถต้นแบบขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย เป็นความร่วมมือของหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะหน่วยงานที่เกิดจากความร่วมมือของบริษัทเอกชน เช่น บริษัท TKC, บริษัท GENSURV แล้วก็มีเอกชนอีกหลาย ๆ บริษัทที่เข้ามาร่วม
ปัจจุบันมีการนำร่องวิ่งในพื้นที่ตัวรอบบึงพระราม จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์และความร่วมมืออย่างดีจากเทศบาลพระนครศรีอยุธยา เเละทางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยการนำร่องเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสได้ทดลองใช้รถบัสไฟฟ้าคันนี้ รวมทั้งเป็นการทดลองระบบไปด้วยในตัว
ประโยชน์ทางสิ่งแวดล้อม "รถบัสไฟฟ้าไร้คนขับ"
สำหรับตัวรถบัสคันนี้ เป็นรถบัสไฟฟ้า คือรถโดยสารไฟฟ้าเป็นรถที่เรียกว่าเป็น commercial เป็นรถเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีการขายอยู่แล้วในปัจจุบัน แน่นอนรถไฟฟ้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีมลพิษ อยู่เดิมเเล้ว โดยรถบัสคันนี้มีการพัฒนาระบบเสริมขึ้นมา เพื่อให้วิ่งอัตโนมัติได้ จึงเรียกได้ว่าเป็นการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวใน จ.พระนครศรีอยุธยา ที่กำลังเป็นที่นิยม
ปัจจุบันทดลองให้บริการ รอบบึงพระราม จ.พระนครศรีอยุธยา
เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ให้บริการ วันศุกร์ - วันอังคาร ( ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร หยุดให้บริการ วันพุธเเละพฤหัสบดี)
จุดเด่น "รถบัสไฟฟ้าไร้คนขับ"
- มี Lidar ทั้งหมด 6 ตัว เเบ่งเป็น ด้านหน้า 2 ตัว ด้านข้าง 2 ตัว ด้านบนด้านหน้า 1 ตัว เเละด้านบนด้านหลัง 1 ตัว
- เรดาร์ ทำหน้าที่เหมือนตา เพิ่มศักยภาพในการมองเห็นเพิ่มขึ้น
- การควบคุม คือ ตัวขับเคลื่อนพวงมาลัย แล้วก็คันเร่ง แล้วก็เบรก เราเรียกว่าเป็นระบบ drive by wire ตัวระบบ drive by wire ตัวนี้ก็จะสามารถทำให้เราควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้
- โดยรถคันนี้ระบบขับเคลื่อนระดับ 3 สามารถควบคุมทางไฟฟ้าได้ ทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยสามารถโปรแกรมให้เดินบนเส้นทางที่เรากำหนดได้ แล้วจากตัวอุปกรณ์ตรงนี้ บวกกับตัว drive by wire บวกกับการทำแผนที่ไว้ในการวิ่งรอบบึงพระรามล่วงหน้า ก็จะสามารถทำให้เราควบคุมการเดินรถได้
- แต่ในขณะเดียวกันเวลาเราวิ่งรถไปจริง ๆ มันไม่ใช่ถนนโล่ง ๆ มันก็มีรถคันหน้ามีอะไร เมื่อเกิดเจอรถคันหน้าแล้วมันก็ต้องมีการแซง เราก็จะมีเขียนโปรแกรมในการแซง สมมุติว่าแซงไปแล้ว แซงผ่านไปแล้ว เกิดคันหน้าเบรก เราก็มีโปรแกรมที่บอกว่าต้องหยุดนะ เพราะคันหน้ามีความเร็วที่ต่ำเกินไปเพื่อความปลอดภัย แล้วถ้าเกิดว่ารถวิ่งไปเราก็มีการควบคุมความเร็วไว้ เพราะว่าเนื่องจากแถวบริเวณบึงพระรามมันก็เป็นพื้นที่ชุมชน
- ความเร็วเราก็ไม่เกินให้สูงมาก ประมาณ 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าไม่มีรถ จาก 10 ก็เร่งไปถึง 25 ได้อะไรอย่างนี้ ก็มีการชะลอความเร็วเมื่อรถคันหน้าชะลออะไรอย่างนี้ เป็นต้น ก็พูดง่าย ๆ คือทำหน้าที่เหมือนการขับรถของเราทั้งหมดเลย ก็เป็นตัวเรื่องของการควบคุม เพราะฉะนั้น จึงมีการเขียนซอฟต์แวร์ให้สามารถทำงานตรงนี้ได้
ถึงแม้ว่าจะขับอัตโนมัติ แต่ยังต้องมีคนขับนั่งอยู่
ตามระบบอัตโนมัติมีทั้งหมด 5 ระดับ
- ระดับที่ 0 เนี่ยคือไม่มีเลย
- ระดับที่ 1 วิธีคิดง่าย ๆ เนี่ยก็เป็นเหมือน foot off ไม่ต้องเหยียบคันเร่ง
- ระดับที่ 2 เหมือน hand off ไม่ต้องมีคนจับพวงมาลัย ระดับที่ 3 คือ eye off ตาไม่ต้องทำงานแล้ว
- ระดับที่ 3 ก็คือถ้าเรามีตา เรารู้พื้นที่ เพราะเรามีแผนที่ แล้วก็มีคันเร่ง มีพวงมาลัยได้
- ระดับที่ 4 เนี่ยมันจะเป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด คือคนก็ยังนั่งอยู่แต่คนไม่ต้องทำหน้าที่อะไรแล้ว
- ระดับที่ 5 พวงมาลัยไม่มีแล้ว คนไม่มีแล้ว
รถคันนี้ระดับที่ 3 ยังต้องนั่งอยู่เพราะมันมีเงื่อนไขที่เรากำหนดว่าวิ่งรอบบึงพระราม แล้วเงื่อนไขนั้นเนื่องจากบางเงื่อนไขมันอาจจะเกิดเหตุที่เราไม่คาดคิดขึ้นมา เพราะฉะนั้นคนยังต้องทำหน้าที่อยู่ เพราะตามกฎหมายความรับผิดชอบยังเป็นหน้าที่ของคนขับอยู่ เพราะฉะนั้นคนขับยังต้องคอย aware คอยต้องระมัดระวังว่าเนี่ยกำลังทำอะไรอยู่
ปัญหา อุปสรรค
เป็นเรื่องของการจราจร การรักษาระเบียบ การเดินรถบริเวณนั้น ยกตัวอย่างเช่น ถนนมันมีสองเลนส์ไป-กลับ การที่รถจอดบนถนนแบบจอดเลย ไม่ได้จอดเพื่อลงแล้ววิ่งต่อ จอดแบบนานเลย จอดเฉย ๆ เลยบนพื้นที่ห้ามจอด จริง ๆ โดยหลักการมันต้องวิ่งไปได้ ทีนี้สิ่งที่มันเกิดขึ้นก็คือว่า เนื่องจากถนนมันเป็นถนนที่แคบ เขาก็ไม่ให้แซงด้วย ถ้าไปดูเนี่ยจะมีเส้นทึบ และโปรแกรมเราไม่ให้แซงเพราะเส้นมันเป็นเส้นทึบ เพราะฉะนั้น คนก็จะต้องทำหน้าที่ในการที่จะแซงออกไป ทีนี้ความท้าทายก็คือในอนาคตเนี่ยไม่มีคน เป็นระดับ 4 แล้วเราจะจัดการตรงนี้ยังไง มันเหมือนกับการที่เราบอกให้รถทำผิดกฎหมายหรือเปล่า เกิดไปเกิดอุบัติเหตุระหว่างแซง ในอนาคตความผิดอยู่ที่ใคร นี่คือเมื่อเป็นระดับ 4 แต่ว่าเป็นระดับ 3 เนี่ยมันทำได้ เพราะว่าคนยังต้องรับผิดชอบ ถ้าจริง ๆ ก็คือห้ามแซง แต่ว่าทำไงได้คันหน้ามันจอดอยู่ อันนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งซึ่งในหลายประเทศห้ามจอดคือห้ามจอด อันนี้ประเทศไทยมันห้ามจอดแต่ยังจอดได้อยู่ นั่นคือความท้าทาย
เเนวทางการขยายผล
โครงการฯ พัฒนาต้นแบบ เนื่องจาก มจธ. ได้รับทุนจากทางกสทช. ซึ่งเเนวทางในการขยายผลหรือพัฒนาเพิ่มคาดว่าต้องมีการรือกันอีกครั้ง
ดร.ภาณุภัทร์ ภู่เจริญ ผู้อำนวยการฝ่ายโทรคมนาคม บริษัท เทิร์นคีย์ คอมมูนิเคชั่ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ได้เล่าให้เราฟังว่า
ในโครงการนี้ บริษัท เทิร์นคีย์ คอมมูนิเคชั่น เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เป็นส่วนหนึ่งที่ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ของ TKC เราเองมีบทบาทในการทำระบบสื่อสาร 5G สำหรับตัวรถคันนี้ แล้วก็ตัว moblie application ที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างประชาชน นักท่องเที่ยว ที่จะติดต่อมายังรถบัส เพื่อจองในการขึ้นรถที่รอบบึงพระราม ตามจุดจอดต่าง ๆ ซึ่งเราก็มี QR CODE ให้ดาวน์โหลด สามารถดูได้ที่ตรงจุดจอดรถบัสที่แต่ละจุดที่รอบบึงพระราม ก็จะมี QR CODE ให้ดาวน์โหลดได้
สแกน QR CODE แล้วมันจะขึ้นมายังไงบ้าง
เราก็จะติดตั้งแอป ก็จะมีให้ดาวน์โหลดทั้ง android แล้วก็ iOS เมื่อเข้าใช้แอปพลิเคชันก็จะสามารถลงทะเบียนก่อน แล้วก็สามารถที่จะกดขอขึ้นรถโดยสารได้ แต่ต้องอยู่ในระยะ 50 เมตรที่ห่างจากจุด
ประโยชน์ที่ได้จากการใช้งาน
หนึ่งก็คือนักท่องเที่ยวได้เรียนรู้ในเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นของระบบรถอัตโนมัติ แล้วก็ระบบการใช้งานเทคโนโลยี 5G แล้วก็ได้มีโอกาสใช้แอปพลิเคชัน แล้วก็เดินทางในรอบบึงพระราม ก็ไม่ต้องใช้รถของตัวเอง ซึ่งหาที่จอดยาก ก็สามารถโดยสารได้ฟรีบนรถบัสโดยสารอัตโนมัติคันนี้
ความรู้สึกหลังจากที่ทางรายการชุมชนยั่งยืนได้ทดลองใช้บริการ
ต้องบอกว่างานนี้เราได้รู้แนวคิดและระบบระเบียบการใช้ไปแล้ว ถึงคราวที่เรานั้นต้องมารีวิวและบอกความรู้สึกกันบ้างว่าหลังจากที่ทดลองใช้แล้ว ก็ต้องบอกว่าโอเคอยู่ แต่จะมีอุปสรรคในเรื่องการเบรคที่มีความแรงและกระชาก
ส่วนเส้นทางการวิ่งนั้น รู้สึกว่ามันก็เหมาะสมกับสถานที่ เพราะเป็นเขตโบราณสถานด้วย เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งมีคนเยอะ แล้วก็ระยะการวิ่งของรถที่ค่อนข้างพอดี มันอาจจะทำให้เราได้เยี่ยมชมสถานที่ไปด้วย นั่งไปชมไป ค่อย ๆ ไปค่อย ๆ ชื่นชมสถานที่ ก็รู้สึกดีและปลอดภัยด้วย
ซึ่งอีกอย่างหนึ่งที่รู้สึกว่าประทับใจและเหมือนทึ่ง อย่างตัวขับเคลื่อนอัตโนมัติหลังจากที่ฟังอาจารย์พูด ปกติแล้วมันจะวิ่งในสถานที่ปิด แต่ว่าอันนี้ก็คือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยเลยเอามาวิ่งในสถานที่เปิด ก็คือมีนักท่องเที่ยวเลย ในเรื่องของความปลอดภัย ตัวรถก็คือทำมาอย่างดีเลย safety อย่างดีเลย นั่งแรก ๆ อาจจะมีจึ้ก ๆ บ้าง เพราะว่าด้วยระบบของการเบรก ระบบของ Lidar เรดาร์ของเขา ถ้าเกิดว่าเขาจับได้ว่ามีอะไรขวางหน้า เขาก็จะเบรกทันที แต่ว่าด้วยความปลอดภัยของเขาพอมันเป็นเลเวล 3 มันยังมีคนขับที่นั่งอยู่ด้านหลังอยู่ คอยที่จะคอนโทรลเพิ่มเติมในเรื่องของความปลอดภัยต่าง ๆ ก็รู้สึกว่ามันก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ดีมาก เพราะตอนนี้เขาทดลองแล้วก็ให้นั่งฟรีด้วย
ต้องบอกว่า ใครที่มาเที่ยวก็ลองมาทดลองนั่งด้วย เพราะว่าตอนนี้เขาวิ่งก็คือรอบ ๆ บึงพระรามเลย จะมี 4 จุดจอดด้วยกัน และตัวแอปพลิเคชันตอนนี้ก็คือ เดี๋ยวหลาย ๆ คนพอได้ดูวันนี้ก็น่าจะได้ใช้ตัวแอปพลิเคชันแล้ว ก็สามารถเรียกผ่านแอปได้เลย แต่ว่าต้องอยู่ในระยะทางที่ประมาณ 50 เมตร ทำไมถึง 50 เมตรเพราะว่า เขาบอกว่าเวลาที่เราเรียกเนี่ย 50 เมตรพอรถมาถึงเราจะได้มาทัน ก็คือมันดีเหมือนกันนะ เพราะปกติเราอาจจะเรียกในระยะไกลกว่านี้แต่บางทีเรามาไม่ทันเวลา วิ่งไม่ทัน แต่พอเป็น 50 เมตร เราก็แบบคอนเฟิร์มได้ว่าเรามาทันแน่นอน

พายุฤดูร้อนรอบใหม่มาแล้ว ถล่มทั่วไทย 19-25 เม.ย. ฝนกระหน่ำ ลมแรง

"ทนายเกิดผล" โพสต์รัวๆ ถึง "ลูกพีช" ปมวุฒิภาวะความเป็นผู้นำ

จักรวาลส่งข่าว "6ราศี" ครึ่งหลัง เม.ย. ดวงเฮงสุดขีด เตรียมรวย

คุณครูหนุ่มฉาว ลวง ป.6 แม่แฉ โรงเรียนเงียบ ส่งอดีตกำนันเคลียร์
