"ผกก.4 บก.ปคบ." ยืนยันชัดปม บุกจับ ผัวเมีย CEO ยาลดนน.แบรนด์ดัง

23 สิงหาคม 2565

"ผกก.4 บก.ปคบ."ยืนยันชัดปมบุกจับ ผัวเมีย CEO ยาลดนน.แบรนด์ดัง ผสมสารอันตราย หลังอัจฉริยะออกมาแฉ ธุรกิจขายฝัน ลงทุน 6000 บาท ได้กำไร 15 ล้าน

จากกรณีกระแสดราม่าในโลกออนไลน์กับธุรกิจขายอาหารเสริมออนไลน์ ที่มีการโพสต์ข้อความว่า "ลงทุนขายอาหารเสริมออนไลน์ 6,000 บาท ได้กำไร 15 ล้านบาท  ภายในระยะเวลาเวลา 3 เดือน" จนนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ได้เข้าแจ้งความตรวจสอบบริษัทดังกล่าว พร้อมแฉคดีเก่า พบว่า ยาลดน้ำหนักยี่ห้อดังนี้เคยโดนจบเนื่องจากผสมสารอันตรายในผลิตภัณฑ์ ก่อนหน้านี้ 

ผกก.4 บก.ปคบ. ยืนยันชัดปมบุกจับ ผัว-เมีย CEO ยาลดนน.ดัง

ผกก.4 บก.ปคบ. ยืนยันชัดปมบุกจับ ผัว-เมีย CEO ยาลดนน.ดัง


ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 23 สิงหาคม 2565  พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.4 บก.ปคบ. ได้ออกมายืนยันแล้วว่าก่อนหน้านี้มีการบุกจับคู่ผัวเมีย CEO ยาลดน้ำหนักชื่อดังจริง เนื่องจากพบสาร "ไซบูทรามีน" ผสมในผลิตภัณฑ์ โดยตำรวจได้จับคู่ผัวเมียคู่นี้ในข้อหา "ร่วมกันจำหน่าย และมีไว้เพื่อจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 1 (ไซบูทรามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต" ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการดำเนินคดี ทั้งนั้นผู้ต้องหาทั้ง 2 รายให้การปฏิเสธในชั้นจับกุม โดยอ้างว่าเป็นการว่าจ้างโรงงานแห่งหนึ่งทำการผลิต และทางโรงงานได้ใส่สารดังกล่าวเข้าไปเอง

 

ทั้งนี้ การจับกุมสืบเนื่องจาก ปคบ.ทำงานเชิงรุก โดยจะมีการล่อซื้อยาลดน้ำหนัก และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต่างๆ และนำมาตรวจสอบอยู่แล้ว  ซึ่งเมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2564 เจ้าหน้าที่ได้ทำการล่อซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทชื่อดังทางเฟซบุ๊ก จากการตรวจสอบพบว่าผลิตภัณฑ์มีการแสดงฉลากไม่ถูกต้อง และเมื่อใช้ชุดตรวจเบื้องต้น ก็พบว่ามีสารต้องห้าม จึงได้ขอหมายค้นเข้าตรวจค้นบริษัทรับผลิตอาหารเสริมที่ จ.สมุทปราการ เพื่อตรวจยึดผลิตภัณฑ์ และส่งตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ต่อมาวันที่ 12 ตุลาคม 2564 ได้รับแจ้งผลตรวจว่ามีส่วนผสมของสาร "ไซบูทรามีน" ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 1 เมื่อตรวจพบหลักฐานเป็นสารต้องห้ามจึงรวบรวมพยานหลักฐานในการออกหมายจับ

ผกก.4 บก.ปคบ. ยืนยันชัดปมบุกจับ ผัว-เมีย CEO ยาลดนน.ดัง

อย่างไรก็ตาม ล็อตล่าสุดที่ตรวจยึด ไม่พบว่ามีส่วนผสมของสาร"ไซบูทรามีน" แต่ในส่วนดำเนินคดีนั้นตำรวจให้ประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 และจะทำการเรียกผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย เข้ามาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนอีกครั้ง 

 


ขอบคุณข้อมูลจาก Tnews