เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทางด้านเฟซบุ๊กเพจ Survive – สายไหมต้องรอด แชร์เรื่องราวของคุณพ่อรายหนึ่ง ที่มาร้องเรียนเพราะหวั่นไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากลูกสาวที่กำลังศึกษาระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยชื่อดังย่านบางเขน ถูกคนเมาจะบุกเข้าห้องพัก เกิดความตกใจกลัวพยายามปีนออกด้านหลัง สุดท้ายพลัดตกตึกชั้น 6 เสียชีวิต
ทางด้าน นายสมชาย พ่อของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ลูกสาวของตนเป็นนักศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน ตั้งแต่ปริญญาตรี และศึกษาต่อระดับปริญญาโท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจบปริญญาเอก โดยในวันเกิดเหตุมีชายรายหนึ่งซึ่งเป็นสามีของผู้จัดการแมนชั่นได้ขึ้นไปเคาะประตูห้องดังมากและใช้ถ้อยคำส่งเสียงดังโวยวาย เพราะเข้าใจผิดว่าลูกสาวได้ไปจอดรถมอเตอร์ไซค์ทับที่จอดของตัวเอง เนื่องจากรับฟังมาจากแม่บ้านผู้ดูแลแมนชั่น ว่ามอเตอร์ไซค์ที่มาจอดอาจเป็นของลูกสาว
ด้วยความตกใจกลัวน้องจึงแชทไปขอความช่วยเหลือเพื่อนที่อยู่ชั้น 3 ของหอพัก แต่เพื่อนยังไม่กล้าขึ้นไปช่วยเพราะเกรงว่าผู้ก่อเหตุอาจมีอาวุธ จึงรีบลงไปที่ชั้น 1 เพื่อเรียก รปภ. แต่ระหว่างนั้นน้องกลัวพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุจะพังห้องเข้ามา จึงอยากหนีออกไป ด้วยการปีนระเบียงหลังห้องจะข้ามไปยังห้องข้างๆ แต่ท้ายสุดพลัดตกตึกจากห้องพักชั้น 6 กระแทกผ่านหลังคาโรงจอดรถลงมายังพื้นชั้นล่าง ซึ่งเพื่อนและ รปภ.ที่เตรียมจะขึ้นไปหา ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมาก
นายสมชาย พ่อของผู้เสียชีวิต ยังกล่าวอีกว่า ลูกสาวเป็นคนกลัวเสียงดังมาตั้งแต่เด็ก จากสิ่งที่เกิดขึ้นตนเสียใจอย่างยิ่ง ตนมีลูกสาวที่เรียนเก่งและเป็นนักเรียนทุน แต่กลับต้องเสียชีวิตจากการกระทำของคนที่ขาดสติมึนเมาเพราะความเข้าใจผิดว่าลูกสาวไปจอดทับที่มอเตอร์ไซค์ อีกทั้งตนมองว่าผู้ก่อเหตุมีลักษณะคล้ายคนดื่มสุรา แต่กลับไม่มีการตรวจสารเสพติดในเส้นผมเพราะมองว่าแค่เรื่องมูลเหตุการจอดทับที่มอเตอร์ไซค์ ทำไมจึงต้องมีการคลุ้มคลั่งขนาดนั้น และท้ายที่สุดมอเตอร์ไซค์คันดังกล่าวก็ไม่ใช่ของลูกสาวตนแต่อย่างใด ตนอยากให้ทางผู้ก่อเหตุมีจิตสำนึกบ้าง และประสงค์ให้ตำรวจช่วยดำเนินคดีให้ครอบคลุมทั้งหมด
ขณะที่ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ได้กล่าวว่า ภายหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบผู้ก่อเหตุพบว่ามีอาการมึนเมาคล้ายคนดื่มสุรา แต่พนักงานสอบสวนไม่ได้มีการตรวจเรื่องสารเสพติด และล่าสุดทราบว่าทางผู้ก่อเหตุได้กล่าวขอโทษกับแม่ของน้อง แต่ไม่ได้มีการพูดเรื่องการเยียวยาช่วยเหลือใดๆ
อีกทั้งประการสำคัญคือที่มีการจอดทับที่มอเตอร์ไซค์ สรุปแล้วไม่ใช่มอเตอร์ไซค์ของน้องผู้เสียชีวิต แต่เป็นมอเตอร์ไซค์ของคนอื่น เป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะมอเตอร์ไซค์ของน้องจอดอยู่ที่ต่างจังหวัด รวมถึงการดำเนินคดีมีเพียง 3 ข้อหา คือ ความผิดฐานบุกรุกเคหะสถานในเวลากลางคืน ความผิดฐานผู้ใดส่งเสียง ทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึง โดยไม่มีเหตุอันสมควรจนทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อน และความผิดฐานผู้ใดทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือความตกใจ โดยการขู่เข็ญ
แต่กลับไม่มีการพิจารณาเเจ้งข้อหาฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เพราะน้องพลัดตกตึกโดยมีมูลเหตุจากการถูกเคาะห้องรัวๆเสียงดัง และผู้เสียชีวิตตกใจ ซึ่งในระหว่างเกิดเหตุน้องผู้เสียชีวิตไม่ได้มีการตอบโต้กับทางผู้ก่อเหตุที่มาเคาะห้อง มีเพียงการส่งข้อความทางในเฟซบุ๊กแจ้งกับเพื่อนที่อยู่ชั้น 3 เท่านั้น
นายเอกภพ กล่าวอีกว่า ตนมองว่าในเรื่องนี้จะต้องมีการรื้อสำนวนคดี เเละต้องมีการสอบปากคำพยานแวดล้อมว่าเสียงในคืนเกิดเหตุดังมากแค่ไหน เพราะการเสียชีวิตของน้อง ถือเป็นพฤติกรรมความประมาทของผู้ก่อเหตุที่เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต ไม่อย่างนั้นลอยนวลเพราะรับแค่ 3 ข้อหาเบาๆเท่านั้น
นอกจากนี้ ตนได้ประสานไปยัง พล.ต.ต.มานพ สุคนธ์ธนพัฒน์ รอง ผบช.น. เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น หากพบว่าการเสียชีวิตของน้องเกิดจากการกระทำของผู้ก่อเหตุหรือใครก็ตาม ขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีในข้อหาหนักที่สุด
ซึ่งล่าสุดทาง พล.ต.ต.มานพ ได้สั่งให้พนักงานสอบสวน สน.โชคชัยทำการวิเคราะห์สำนวน เพื่อตรวจสอบให้ถี่ถ้วนว่าการเสียชีวิตของนักศึกษาปริญญาโทเกิดจากมูลเหตุที่ผู้ก่อเหตุเคาะห้องส่งเสียงดังและโวยวาย จึงเป็นเหตุให้น้องตกใจจนตัดสินใจหลบหนีและเสียชีวิต และให้พิจารณาความผิดอื่นที่เกี่ยวข้องว่าพบอีกหรือไม่