เข้มข้นอีกขั้นแล้ว เพราะหลังจาก ทนายสายหยุด หรือหลายๆ คนให้ฉายาว่า "ทนายปาเกียว" ซึ่งเป็นทนายความของ ทนายตั้มมาร่วมในรายการโหนกระแสไปก่อนหน้านี้ และได้พูดคุยถึงแนวทางคดีว่า ทนายตั้งไม่น่าจะมีความผิดอาญาฐานฉ้อโกง แต่เป็นเรื่องการขอยืมเงินมาแล้วผิดสัญญา ซึ่งเป็นความผิดทางแพ่งมากกว่า
โดย ทนายปาเกียว ให้เหตุผลว่า เนื่องจาก ทนายตั้ม ไปขอยืมเงินจากพี่อ้อย มาลงทุนทำสลากออนไลน์ แต่ติดปัญหาเรื่องสัมปทานอะไรต่างๆ จึงยังไม่สามารถลงทุนได้ แต่ก็นำเงินที่ได้มาจากพี่อ้อย 71 ล้านบาทนั้น ไปทำอย่างอื่น ไม่ได้คืนให้พี่อ้อย จึงน่าจะเป็นเรื่องการผิดสัญญาทางแพ่ง ไม่ใช่อาญา
ล่าสุด อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต หนึ่งในคนที่ได้รับฟังเรื่องราวของ "มาดามอ้อย" ที่มาร้องเรียนว่าถูกทนายตั้มฉ้อโกงเงินไปได้หอบหลักฐานสำคัญมาฟาดคืนทาง ทนายปาเกียว ทั้งหนังสือต้นฉบับ สัญญาจ้างเขียนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน
ลงนามเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2566 ทำขึ้นระหว่าง มาดามอ้อย น.ส.จตุพร เป็นผู้ว่าจ้าง จ้างให้ บริษัทแห่งหนึ่ง เป็นผู้รับจ้างให้เขียนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ขายสลากออนไลน์ โดยมีวงเงินในสัญญา 2 ล้านยูโร โดยบริษัทคู่สัญญาที่มาทำให้นี้ มีนักธุรกิจ 2 คน ที่จะเป็นตัวละครสำคัญ ชื่อว่า "เตอร์" และ "มี่"
ดังนั้น การที่อ้างว่า ทนายตั้มขอยืมเงินพี่อ้อยมาลงทุนทำหวยออนไลน์ จะลงทุนคนเดียว เล็กๆ ไม่เกี่ยวกับพี่อ้อย แต่พอเห็นสัญญาฉบับนี้ จะกลายเป็นคนละเรื่องเลย เพราะคู่สัญญา คือพี่อ้อย และ บริษัทแห่งนี้ ไม่มีชื่อทนายตั้มเลย ดังนั้น การลงทุนต่างๆ จึงเป็นการลงทุนของพี่อ้อย ไม่ใช่ทนายตั้มเลย แล้วเงินหายไปไหน 71 ล้าน
อีกทั้งสัญญาในการกู้ยืมเงินระหว่าง ทนายตั้ม กับ พี่อ้อย ก็ไม่มีการทำสัญญา ทั้งที่ทนายตั้มเป็นนักกฎหมาย การจะยืมเงินใครมากถึง 71 ล้าน เป็นไปได้หรือที่จะไม่ทำสัญญา แล้วที่ตอนแรกบอกว่าเป็นการให้โดยเสน่หา แต่ตอนหลังมาบอกว่า ขอยืมเงินไปลงทุน สรุปแล้วยังไงกันแน่
สุดท้ายทนายตั้มอาสาเป็นคนกลางประสานระหว่างพี่อ้อยกับเตอร์และมี่ ดำเนินการทำเว็บไซต์ทและแอปฯ หวย ที่ว่านี้ แต่ทางทนายตั้มไปโกหกเตอร์และมี่ว่า พี่อ้อยไม่ทำต่อแล้ว ทั้งที่พี่อ้อยโอนเงินมาไว้ที่ทนายตั้มแล้วเรียบร้อย พอถึงเวลาที่ต้องส่งมอบงานตามสัญญา พี่อ้อยทวงถามมาทางทนายตั้ม ปรากฏว่าเขาไปจ้างบริษัมอื่นมาทำแอปฯ "นาคี" ให้
ส่วนเรื่องรับจ้างออกแบบโรงแรม เตอร์ และ มี่ ก็มีบริษัทรับจ้างออกแบบ ซึ่งทางทนายตั้มก็ให้เตอร์และมี่ ทำใบเสนอราคามาให้พี่อ้อยพิจารณา 9 ล้านบาท โดยพี่อ้อยโอนเงินให้มี่ไปแล้วโดยตรง ปรากฏว่าทางทนายตั้ม ไปเอาเงินกลับมาจากมี่ มาไว้กับตัวเอง จากนั้นไปจ้างอีกบริษัทหนึ่งออกแบบมาในราคา 3.5 ล้านบาท ส่งให้พี่อ้อยแทน แต่ในแบบไม่มีระบบน้ำ ระบบไฟ ซึ่งมันไม่สามารถจะไปยื่นขออนุญาตก่อสร้างได้
ส่วนเรื่องรถเบนซ์ พี่อ้อยจากเงินให้ทนายตั้มเป็นค่ารถเบนซ์คันนี้ ยอด 12.9 ล้าน แต่ทนายตั้ม เอาเงินไปจ่ายเต็นท์รถ 11.4 ล้านบาท ส่วนต่าง 1.5 ล้าน จะอ้างว่าเป็นค่านายหน้าหรืออะไรเขาก็อ้างไป แต่ปรากฏว่าตำรวจไปเจอทีหลัง ว่าทนายตั้งให้เต็นท์รถออกใบเสร็จ 2 ใบ ใบแรกยอด 11.4 ล้าน คือยอดที่ซื้อขายจริง แต่ออกอีกใบหนึ่ง ยอด 12.9 ล้านเอาไปให้พี่อ้อย เป็นใบเสร็จปลอม ที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบ มันเป็นการหลอกลวงแน่นอน
ลักษณะการจ่ายค่านายหน้าที่ถูกต้อง เต็นท์รถรับเงินไปแล้ว เขาจะทอนเงินคืนให้ทนายตั้ม พร้อมหักภาษี ณ ที่จ่าย เอาเข้าระบบให้ถูกต้อง แต่ลักษณะการออกใบเสร็จ 2 ใบ แต่เป็นคนละยอด เขาเรียกว่า "ชักหัวคิว" มันเป็นการโกงแน่นอน