พลตำรวจโทภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. พร้อทด้วย พลตำรวจตรีพันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติงานผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรม ในห้วงระหว่างวันที่ 4-13 พ.ค.66 สตม. สามารถจับกุม คนต่างด้าวอยู่เกินกําหนดอนุญาต (Overstay) ได้ทั้งสิ้น 1,272 ราย เพิ่มขึ้น 487 ราย คิดเป็น 62.03 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับสถิติการจับกุมคนต่างด้าวอยู่เกินกําหนดอนุญาต (Overstay) ในห้วงการระดมกวาดล้าง อาชญากรรมเมื่อเดือนต.ค.-พ.ย.65ที่ผ่านมาซึ่งมีการจับกุมได้ 785 ราย
ขณะที่อีกคดี เป็นการทำงานของ กองกำกับการ 3 สตม. ที่สามารถจับกุมหัวหน้าแก๊ง CALL CENTER จีน หลอกลงทุน CRYPTO ปลอม ความเสียหายกว่า 500 ล้าน บาท
สืบเนื่องจาก ทาง สตม. ได้รับการประสานงานจากเอกอัครราชทูตจีนประจําประเทศไทยและเจ้าหน้าที่ศูนย์ ปราบปรามอาชญากรรมเมืองเซี่ยงไฮ ว่ามีผู้ต้องหาตามหมายจับของประเทศจีน หลบหนีมากบดานอยู่ในประเทศไทย ชื่อ MR.ZHOU หรือ นายโจว (นามสมมติ) อายุ 35 ปี สัญชาติจีน
ซึ่งผู้ต้องหาคนดังกล่าว เป็นแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ระดับสั่งการที่ชักชวนให้มีการลงทุนบนแพลตฟอร์มแอพพลิเคชั่นปลอม เกี่ยวกับด้านคลิปโตเคนซี่ซึ่งมีมูลค่าเสียหายกว่า 500 ล้านบาท โดยมีการตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ที่เมือง เมืองสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา แล้วหลบหนีเข้ามายังประเทศไทย
ฝ่ายสืบสวน สตม. ได้ลงพื้นที่สืบสวนจนต่อมาเมื่อวันที่ 27 เม.ย.66 เจ้าหน้าที่ชุด สืบสวนได้ทําการสืบสวนจนทราบว่า MR.ZHOU ได้หลบซ่อนอยู่ในคอนโดหรูแห่งหนึ่งย่านพระราม 9 จึงได้ทําการ ขอหมายค้นต่อศาลอาญาเพื่อทําการเข้าทําการตรวจค้นเมื่อไปถึงห้องพักพบ MR.ZHOU ที่เป็นบุคคลเดียวกันกับ บุคคลตามหมายจับสาธารณรัฐประชาชนจีน และถูกเพิกถอนการอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นการชั่วคราว ได้ออกมาจากห้อง จึงแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตํารวจและแสดงหมายค้นศาลอาญาเพื่อขอทําการตรวจค้น
การตรวจค้นพบ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์และบัตรเครดิต จํานวนหลายรายการ จากนั้น สตม. ได้ประสานข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ตํารวจของสาธารณรัฐประชาชนจีน ขยายผลพบว่า นอกจาก MR.ZHOU จะเป็นหนึ่งในหัวหน้าของแก๊ง call center แล้วยังมีคนจีนอีก 2 คน เป็นระดับผู้บริหารของ แก๊ง call center ดังกล่าว คือ MR.LI หรือ นายหลี่ (นามสมมติ) อายุ 27 ปี สัญชาติจีน และ MR.HUANG หรือ นายหวง (นามสมมติ) อายุ 37 ปี สัญชาติจีน
โดยทั้งสองรายเป็นบุคคลที่มี หมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีน และได้หลบหนีเข้ามาอยู่ที่ประเทศไทยเช่นเดียวกัน จึงได้ทำการสืบสวน จนพบว่า MR.LI พักอยู่ที่ คอนโดแห่งหนึ่งย่านทองหล่อ ส่วน MR.HUANG ได้พัก อาศัยอยู่คอนโดหรูแห่งหนึ่งย่านวัฒนา จึงได้ขออนุมัติหมายค้น และลงพื้นที่และดำเนินการเข้าตรวจค้นและจับกุมทั้งสองได้
โดยพฤติการณ์ของแก๊งดังกล่าวนั้น มีการจัดตั้งขบวนการแก๊ง call center อยู่ที่เมืองสีหนุวิลล์ ประเทศ กัมพูชา ลักษณะเป็นการโฆษณาชักชวนให้ลงทุนบนแพลตฟอร์มที่ชื่อว่า GOLD TIANLI , EXCELLENT TRADING HALL, SINA FINANCE, JINYU INTERNATIONAL ซึ่งเป็นการลงทุนเกี่ยวกับ CRYPTOCURRENCY โดยจะมีการ ชักชวนประชาชนจากเว็บไซต์และแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เมื่อมีคนหลงเชื่อจะทําการพูดคุยผ่านแอพพลิเคชั่น และชักชวนหลอกลงทุน อีกทั้งการจัดหาพนักงาน call center จะมีการหลอกลวงและบังคับคนเข้าทํางานกับแก๊ง call center ดังกล่าว
อีกคดี คือ การจับกุม หัวหน้าแก๊งค์ CALL CENTER จีน โทรหลอกประชาชน ปลอมเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เชื่อมโยง เกินกว่า 8,500 คดี ความเสียหายเกินกว่า 8,000 ล้านบาท
โดยคดีนี้ มาจากการได้รับการประสานงานจากเอกอัครราชทูตจีนประจําประเทศไทยและสํานักงานรักษา ความปลอดภัยสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน กรณีผู้ต้องหาตามหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีน รายสําคัญคือ MS.YANG หรือ นางหยาง อายุ 35 ปี สัญชาติจีน ซึ่งก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีในลักษณะฉ้อโกงประชาชน ฯ เป็นขบวนการแก๊ง call center โทรหลอกประชาชนอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐข่มขู่ให้โอนเงินมูลค่าความเสียหายกว่า 8,000 ล้านบาท โดยตั้งฐานอยู่ที่ เขตปกครองพิเศษว้า ประเทศเมียนมาร์ แล้วหลบหนีเข้ามายังประเทศไทยผ่านทางช่องทางธรรมชาติ
ซึ่งทาง กก. 4 บก.สส.สตม. จึงทําการ สืบสวนติดตามจับกุมคนร้าย โดยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ทําการสืบสวนจนทราบ ว่า MS.YANG ได้หลบซ่อนอยู่ในบ้านแห่งหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ จึงได้ทําการขอหมายค้นต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ และเข้าทําการตรวจค้น เมื่อไปถึงพบ MS.YANG จึงแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตํารวจและแสดงหมายค้นศาลจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อขอทําการตรวจค้น
จากการตรวจค้นบ้านพักพบ โทรศัพท์มือถือ จํานวนหลายรายการ และจากการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางพบว่า MS.YANG ไม่ได้เข้ามาในประเทศไทยผ่านทางช่องที่กฎหมายกําหนด จึงได้ทําการจับกุมในข้อหา เดินทางเข้ามาใน ราชอาณาจักรไทย โดยไม่ได้รับอนุญาต นําตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดําเนินการตามกฎหมายต่อไป
สำหรับพฤติการณ์ของแก๊ง call center ดังกล่าวนั้นมีการจัดตั้งขบวนการอยู่ที่เขตปกครองพิเศษว้า ประเทศ เมียนมาร์โดยจะโทรศัพทห์าผู้เสียหายแล้วจะอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือพนักงานอัยการหรือตํารวจจากนั้น จะพูดข่มขู่ผู้เสียหายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีอาญาและฟอกเงิน และให้ผู้เสียหายโอนเงินแก๊ง call center ดังกล่าว โดยมีการกระทําผิดเชื่อมโยงกว่า 8,500 คดี ความเสียหายเกินกว่า 8,000 ล้านบาท
สตม.
พลตำรวจตรีพันธนะ ระบุว่าทั้งสองคดี มีความคล้ายกัน และจากการข่าวยังพบว่ากลุ่มขบวนการเหล่านี้ เริ่มมีการใช้ประเทศไทยในการหลบหนีหลบซ่อนตัว แต่จะตั้งฐานปฏิบัติอยู่ในระแหวกประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งทาง สตม.จะดำเนินการตรวจสอบขยายผล ดำเนินคดีกับกลุ่มขบวนการเหล่านี้
โดยทั้งนี้ สตม. ยังกำชับทุกหน่วยงานให้เฝ้าระวังการใช้ประเทศไทยในการก่อเหตุอาชญากรรม เช่น คนจีน มาอุ้มคนจีนในประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมามี ทั้งสิ้น 7 คดี และสามารถจับได้ครบทุกคดี ทั้งนี้ไทยยังถือว่าอยู่ในอันดับท้ายๆของประเทศที่มีการใช้เป็นพื้นที่ก่อเหตุ แต่ทาง สตม. ก็จะดำเนินการกวาดล้างต่อไป